"โสธายะ" คิดจะเรียนอาคม มนต์นี้ต้องรู้
เล่นของไม่ขึ้น ใช้ของไม่เห็นผล สวดคาถาอันใด ท่องบ่นมนต์อันใด
ก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถรู้ได้ว่ามนต์บทนั้นๆ
หรือจะบทไหนๆ ก็ตาม มันมีอานุภาพดั่งเช่นที่ตำรา หรือที่ผู้ถ่ายทอดได้
บอกและกล่าวสรรพคุณไว้ สุดท้ายก็เกิดความเบื่อหน่าย สิ้นความเชื่อถือใน
ไสยศาสตร์ เวทย์มนต์ คาถาอาคมไปในที่สุด แล้วสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการ
มองว่า ไสยศาสตร์ เวทย์มนต์ คาถาอาคม นั้นเป็นสิ่งงมงาย เป็นสิ่งเอาไว้
หลอกลวงคนโง่ของคนสมัยโบราณ นี่คือสิ่งที่ดำเนินมาอย่างเนิ่นนาน
หลายสิบ ไปจนถึงหลักร้อยปี ของวงการผู้ร่ำเรียนวิชาไสยศาสตร์
แต่ทว่า ความนิยมและความลี้ลับ ความมหัศจรรย์ ความสำเร็จจากการ
ร่ำเรียนวิชาไสยศาสตร์ หากว่าไม่มีเสียเลย วิชาไสยศาสตร์ เวทย์มนต์
คาถาอาคม ก็คงจะสูญหายไปเนิ่นนานแล้ว คงไม่อาจจะดำรงค์อยู่ได้มา
จนถึงยุคสมัยปัจจุบัน แต่เหตุนั้นมาจากคนทั่วๆไป จะเข้าถึงความสำเร็จ
ของการเรียนไสยศาสตร์นั้น น้อยถึงน้อยมากๆ เปรียบไปแล้วก็ไม่ต่างจาก
สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยที่คัดเอาเฉพาะนักเรียน นักศึกษาที่มี
คะแนน ทดสอบความรู้อย่างเข้มงวด จึงจะได้มีโอกาสเข้าเรียน รับการ
ศึกษาจากสถาบันนั้นๆ ว่ากันง่ายๆ ก็คือคนที่เข้าไม่ถึง คือคนที่ทำคะแนน
เอ็นทรานส์ไม่ผ่านต่อการจะเข้าศึกษาร่ำเรียนในวิชาไสยศาสตร์ต่อไป ภาษา
คนสมัยนี้ก็คงจะเรียกว่าเป็น"เด็กซิ่ว"
ซึ่งก็เป็นเรื่องปรกติธรรมดา ที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถสอบเข้าเป็นหมอ
เป็นวิศวะ ฯลฯ กันได้ทุกคน หากแต่ข้อแตกต่างของวิชาไสยศาสตร์ ไสย
เวทย์ คาถาอาคม นั่นคือคุณไม่จำกัดปีในการเรียน ไม่จำกัดครั้งในการซิ่ว
และไม่จำกัดอายุใดๆ ในการจะเรียนรู้ ตั้งหลักและเริ่มใหม่ เมื่อคุณตั้งใจ
ทำการศึกษา หมั่นทำแบบทดสอบ และฝึกฝนทางไสยศาสตร์ซ้ำแล้ว ซ้ำ
เล่าอยู่เรื่อยๆ เมื่อคุณมีความรู้และความเข้าใจมากพอ ประตูแห่งการจะเข้า
ถึงวิชาไสยศาสตร์ ก็เปิดออกเมื่อนั้น
กล้าบอกอย่างเต็มปากเลยว่า ผมก็เป็นคนนึง เมื่อครั้งเริ่มต้น ไม่มีความรู้
เข้าไม่ถึงวิชาไสยศาสตร์ วิชาคาถาอาคมใดๆ หากแต่ผมไม่ย่อท้อ และไม่
หยุดเรียนรู้ ไม่หยุดค้นคว้าหาความรู้และฝึกฝน ถ้าหากว่าผมไม่พบเจอ
ความสำเร็จอันใด ผมก็คงไม่หาญกล้า มาเปิดสำนัก หากินกับวิชา
ไสยศาสตร์แบบทุกวันนี้
โดยส่วนใหญ่แล้ว คนที่คิดจะเรียนคาถาอาคม มักจะมองถึงผลสำเร็จ และ
คิดเอาว่าคาถาอาคม แค่เพียงท่องบ่น ท่องจำได้ หรือแค่เปิดตำราอ่านแล้ว
ท่องตาม มันก็ขลัง มันก็เกิดผลตามนั้นแล้ว ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่เลย
คาถาบทไหนๆก็ตาม เปรียบกับคอมพิวเตอร์แล้วมันคือชุดคำสั่งนึง หรือ
ซอฟแวร์อย่างนึง ซึ่งหากไม่มีฮาร์ดแวร์แวร์ หรืออุปกรณ์แล้ว เพียงชุดคำ
สั่งอย่างเดียว มันก็ทำงานไม่ได้
ซึ่งอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์นั้นก็คือตัวของเรานั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่า การจะใช้
ซอฟแวร์ หรือคาถาที่มีความซับซ้อน ฮาร์ดแวร์ก็ต้องมีประสิทธิภาพสูง
ตามไปด้วย
ซึ่งการจะใช้คาถาที่มีอานุภาพรุนแรง ขนาดเปลี่ยนชีวิต ดลจิตดลใจ ไป
จนถึงบังคับจิตใจผู้คน เสริมและเปลี่ยนดวงชะตาชีวิตของคนเราได้ เปรียบ
ก็เหมือนการใช้ซอฟแวร์ที่มีความซับซ้อนอย่างมากมาย จำต้องใช้ความ
สามารถของฮาร์ดแวร์ที่ความสามารถมากตามไปด้วย ดังนั้นการที่อยู่ๆ คน
ที่ไม่เคยเรียน หรือยังเรียนไม่สำเร็จ จะไปใช้คาถาให้มันเกิดผล มันจึงไม่เกิด
ผลใดๆ เปรียบดังเอาคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีศักยภาพมากพอ ไปเรียกใช้ชุดคำ
สั่งที่มากเกิดความสามารถในการประมวลผลของฮาร์ดแวร์ ก็ไม่เกิดผลใดๆ
หรือหนักกว่านั้นเครื่องก็ค้าง หรือพังไปเลยก็มี
ดังนั้นแล้ว การจะใช้คาถาอาคมใดๆ สิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมเป็นอันดับ
แรก ก็คือร่างกายของตัวเราเอง เพื่อให้พร้อมจะร้องรับ หรือชับเคลื่อน
พลังงานของเวทย์มนต์ คาถาบทนั้นๆ ยิ่งคาถาที่จะใช้มีความรุนแรงและ
อานุภาพมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องเตรียมตัวและฝึกฝนให้หนักมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นการจะฝึกฝนการสูบมนต์ เชิญพระมนต์เข้าตัวอยู่เป็นประจำ ก็คือการ
ฝึกฝนและเตรียมร่างกายสำหรับใช้พระเวทย์พระมนต์อย่างนึงที่สำคัญ
มากๆ แต่คนเรียนสมัยนี้กลับละเลยมันไป (รายละเอียดเพิ่มเติม ไปหาอ่าน
เอาจากบทความเคล็ดวิธีการสูบมนต์)
การเชิญมนต์ การกรึงมนต์ การสูบมนต์ สำหรับคนทั่วๆไป ไม่ใช่สิ่งที่ยุ่ง
ยากเกินกว่าการจะฝึก และกระทำ ซึ่งข้ออ้างว่าไม่มีเวลา นั้นจะเอามาอ้างไม่
ได้ เพราะถ้าหากว่าคุณยังมีเวลาหายใจ คุณก็สามารถฝึกฝนการเชิญมนต์
และการกรึงอำนาจแห่งมนต์ ให้มาอยู่ในตัว สำหรับพร้อมในการจะใช้คาถา
อาคมต่างๆได้
มนต์บทที่ว่า ก็สั้นๆจำง่ายๆ มีเพียงแค่ ๓ พยางค์ นั่นคือ "โส ธา ยะ"
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดด่าผมในใจ สาธยายมายืดยาว
ทำไมคาถามันสั้นๆ ง่ายๆแค่นี้เอง เอาละก่อนจะด่าผม ก็มารู้กันถึงความ
หมายแท้จริงของคาถาง่ายๆ บทนี้กันก่อน
คาถาบทนี้ โบราณจารย์ท่านถือเป็นยอดพระคาถา หัวใจของพระคาถาทั้ง
มวล เป็นคาถาสำหรับใช้ครอบเวทย์มนต์ ทำมนต์ต่างๆให้ประสิทธิ และ
สัมฤทธิผล ใช้สูบมนต์คาถาทั้งปวงให้เข้ามาสู่ร่างกายเรา เป็นการถอดมา
จากคาถาบทเต็มก็คือ
"อิ ติ ปิ โส นะ โม พุท ธา ยะ"
ซึ่งยามจะใช้บริกรรม จะถอดและสลับกันไปมาคือ
"อิ นะ ติ โม ปิ พุท โส ธา ยะ"
จับเอาเพียงตอนท้ายของอักขระคาถา เพื่อง่ายแก่การใช้และบริกรรม
จึงเป็น " โส ธา ยะ"
"อิติปิโส" คือการกล่าวอ้างถึงคุณแห่งพระโคตมพุทธเจ้า
"นะโมพุทธายะ" คือการกล่าวอ้างถึงคุณแห่ง พระพุทธเจ้าทั้ง ๕
พระองค์ แห่งภัทรกัปป์นี้
ซึ่งอานุภาพจะมากมายขนาดไหน ผมคงไม่อาจจะบรรยายได้หมด ถ้า
หากว่าใครที่คิดว่า คุณแห่งพระพุทธเจ้า ยังไม่ยิ่งใหญ่พอสำหรับคุณ ผม
เองก็คงหมดคำจะกล่าว โลกและจักรวาลใบนี้ คงจะเล็กเกินไปสำหรับคน
อย่างคุณ แนะนำให้คุณไปสร้างโลกและจักรวาลใหม่เสียเองคงจะเหมาะ
กว่า
มนต์ ๓ ตัว โสธายะนี้ ใช้ได้สารพัดทาง ทางให้เกิดฤทธิ์ ปลุกมนต์ ปลุก
อักขระต่างๆ ทั้งกันเสื่อม กันคัดถอน กันแก้ กันโดนสูบมนต์ กันมนต์เสื่อม
ใช้ไปได้ถึงมัดตรึงผี กักภูติ ผูกจิต เจตภูติทั้งหลาย
สำหรับผู้ฝึกฝน หมั่นสูดลมหายใจ บริกรรมภาวนาด้วยคาถานี้เป็นประจำ
จะทำให้ในการเปี่ยมไปด้วยพลังงานแห่งมนต์คาถา เมื่อกำลังคาถาเปี่ยม
อยู่ในกายตลอดเวลาแล้ว การจะใช้มนต์คาถาใดๆ ให้สัมฤทธิ์ก็ไม่ใช่เรื่อง
ยากเกินความจริง
แต่ทั้งนี้ ผู้ที่จะฝึกฝน ควรจะกระทำตนให้บริสุทธิ์ สะอาด เหมาะสมสำหรับ
เพื่อรองรับอำนาจแห่งแรงคาถา แรงครู แรงอาคม ประเภทคิดจะฝึก แต่ยัง
ทำตัวกเฬวราก ด่าพ่อล่อแม่คนไปทั่ว นิสัยอิจฉาริษยา คนโกงเอาเปรียบ
วันๆเอาแต่เสือกเรื่องชาวบ้าน หาแต่เรื่องด่านินทาคน เกี่ยงข้องกับยาเสพ
ติด เรื่องผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม พวกประเภทนี้ สูบยังไงมนต์ก็ไม่มา กัก
ยังไงมนต์ก็ไม่อยู่ เพราะของที่ดีย่อมคู่กับคนดี และรักษาคนดีเท่านั้น คน
ประพฤติชั่วทำเลว ย่อมไม่เกิดผลใดๆ
ใครจะฝึกก็เชิญ ใครคิดว่ามีประโยชน์ก็เอาไปใช้ ไม่ต้องขออนุญาต แต่ห้าม
นำบทความที่ผมเขียนนี้ไปกล่าวอ้างว่าเป็นความรู้ของตัวเอง เผยแพร่โดย
ไม่ให้เครดิตใดๆ ซึ่งหลังๆพวกกอป ขโมยบทความไปโดยไม่ให้เครดิต และ
ให้คนอื่นคิดว่าตัวเองเป็นผู้เขียนเอง มีเยอะมากๆ หลังจากนี้ไป หากพบเจอ
จะทำการดำเนินคดี ไม่มีการเตือนใดๆทั้งสิ้น
สำนักฤษเวทย์ ไสยเวทย์วิทยาและมนตราอีสาน
ญาณวุฒิ ญาณวุฒิเทวัญ
สมิงมนตรามหาเสน่ห์