"ห้ามกินของในงานศพ"ข้อถือที่ไม่มีคนรู้เหตุผลที่แท้จริงว่าห้ามเพราะอะไร?
อีกข้อห้ามของคนเล่นของถือวิชา ที่เข้าใจผิดและปฎิบัติกันผิด เพราะไม่รู้ถึงสาเหตุและความหมายที่แท้จริงนั่นคือ "ห้ามกินของในงานศพ".......
ข้อห้ามเดียวกันนี้แต่มีคนปฎิบัติต่างกันสารพัดแบบ เช่น
๑.บางคนก็ไม่กินข้าวหรือเครื่องดื่ม ที่เจ้าภาพจัดหาเตรียมไว้
๒.บางคนก็กินข้าวและเครื่องดื่ม ที่เจ้าภาพจัดหา แต่ไม่กินในชายคา หรือออกไปกินนอกเต้นท์
๓.บางคนซื้อหรือเตรียมห่อข้าวไปเอง แล้วก็กินนอกเต้นท์ ที่งานศพ
๔.บางคนก็ตัดปัญหา ไม่กินทั้งข้าวที่เจ้าภาพเตรียม และไม่เตรียมไม่เอง ยอมอดทนรอจนงานจบค่อยไปหากินทีหลังแบบสบายใจซะ
...
......
สารพัดจะปฎิบัติแตกต่างกันไป ด้วยเพราะไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไม? โบราณจารย์ท่านถึงได้ห้ามและถึงเป็นข้อกำหนด
เท้าความก่อนว่า ข้อห้ามของคนถือของเรียนวิชานั้น หลายๆข้อก็ยึดถือกันมา ตามแต่วิถีชีวิตของคนโบราณ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เพราะ
คนร่ำเรียนไสยศาสตร์ยุคต่อมา ก็ไม่มีใครอยากจะไปลบล้างคำครู หรือทำตัวเกินครู ข้อถือห้ามหลายๆข้อจึงไม่ได้มีการปรับเปลี่ยน ส่วนใหญ่ก็มักจะใช้วิธี
ไม่ถือข้อห้ามเหล่านั้นไปเลย หรือถือเอาบางข้อ หรือไม่งั้นก็จะใช้วิธีที่เรียกว่า "เลี่ยงบาลี"
การจัดงานศพที่วัด เพิ่งจะมาทำกันในยุคหลังๆ ไม่กี่สิบปีนี้ ถ้าเป็นคนที่อายุมากกว่าผม เกินเลข ๔ มีภูมิลำเนา มีญาติอยู่ต่างจังหวัด น่าจะทราบว่า งานศพ
สมัยก่อน มักจะจัดที่บ้านกัน หลายท่านน่าจะเคยผ่านงานศพที่จัดที่บ้านกันมาบ้าง สมัยผมเด็กๆ ยายผมเสียก็จัดงานศพที่บ้าน
ส่วนข้อห้ามกินของในงานศพ มีสมาชิกท่านนึงให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ไม่ใช่ว่าเฉพาะคนเล่นของถือวิชาเท่านั้นที่ห้ามกัน แต่ผู้ที่มีวิชาชีพทางเกี่ยวกับจัดงาน
ศพ ก็มีการห้ามถึงข้อนี้ อันนี้ผมเองก็เพิ่งจะทราบครับ ในส่วนของคนเล่นของถือวิชาที่ห้ามข้อนี้ ส่วนตัวผมจึงสัณนิษฐานว่าข้อห้ามนี้ น่าจะต่อๆมาจากผู้สืบ
วิชาทางสาย"สัปเหร่อ"ด้วย เพราะวิชาอาคมหลายวิชา ที่เกี่ยวกับการสะกดวิญญาณ ปราบอาถรรพ์ หลายๆวิชาก็มาจากสายนี้
เหตุผลที่สมาชิกท่านนั้นให้ไว้ก็ตรงกัน ที่โบราณท่านห้ามกินของในงานศพก็เพราะว่า การที่จะไปกินของในงาน หรือให้เจ้าภาพจัดหาข้าวปลาอาหารให้
โดยที่สภาพจิตใจเขายังย่ำแย่อยู่ มันเป็นการไม่เหมาะสมเท่าไหร่ (ธรรมเนียมไทยโบราณ ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ ไม่ให้หิว ไม่ให้อด)หรือต่อให้เขา
เตรียมไว้ให้ การจะมานั่งกินอาหาร โดยที่เจ้าบ้านนั่งเศร้าใจร้องไห้อยู่ คิดดูแล้วก็เป็นภาพที่ออกมาไม่ดีเท่าใดนัก อีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นการสอนให้พิจารณา
ความรู้สึกและจิตใจผู้อื่น มากกว่าจะสนใจแต่เรื่องของตนเอง
และอีกเหตุผลต่อมา คือสมัยก่อนการวางยาสั่ง ยาพิษ ถ้าทำในที่แบบนี้มีโอกาสหาตัวผู้กระทำได้ยากกว่าเวลาอื่น
ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ สมัยก่อนนั้น ไม่มีการใช้ยาฟอร์มาลีน ฉีดศพกันเน่าแบบปัจจุบัน ให้เพียงแค่ยาเส้น หรือพืชดับกลิ่นอื่นๆ เมื่อศพผ่านการเสียชีวิตมา
หลายวัน ก็ขึ้นอืดบวมพอง น่้ำเหลืองแตกอยู่ในโลงนั่นล่ะครับ ในโลงก็จะมีการต่อท่อเพื่อให้น้ำเหลืองมีที่ไหล ซึ่งก็ไม่ได้ไปไหนไกล อยู่บริเวณบ้านงานนั่น
ล่ะครับ แน่นอนว่าแมลงวัน แมลงต่างๆที่ชอบกินของเน่าเป็นอาหารก็ต้องไปตอม ตอมน้ำเหลืองเสร็จก็มาตอมอาหารต่อ วนๆไปๆมาอยู่แบบนี้ ซึ่งมันเสี่ยง
ทั้งเชื้อโรค และก็เป็นการเอาปราณแห่งความตายเข้าสู่ในร่างกาย ซึ่งไม่เป็นการดีกับตัวทั้งสิ้น
ข้อห้ามของโบราณจึงไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล หากแต่มันล้ำลึกเสียจนคนปัจจุบันนั้นเข้าไม่ถึงกับต่างหาก แต่ถามว่าปัจจุบัน สภาพวิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไป งาน
ศพเปลี่ยนมาจัดที่วัดเป็นหลัก มีคนช่วยจัดเตรียมมากมาย มีคนรับจ้างทำแบบที่เรียกได้ว่าเป็นอาชีพกันเลย ดังนั้นการจัดเตรียมข้าวปลาอาหาร ให้แขกที่มา
งาน จึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากและกลายเป็นธรรมเนียมปฎิบัติกันไป ส่วนนึงผมว่าน่าจะได้อิทธิพลจากวัฒนธรรมชาวจีน เพราะสังเกตุเอาว่าอาหารงานศพ แต่
ไหนแต่ไรมักจะเป็นข้าวต้ม กระเพาะปลา ซึ่งของคนไทยโบราณนั้นไม่น่าจะมีเมนูนี้ แต่การหล่อหลอทของวัฒนธรรมและวิถีชีวิต เลยทำให้เรื่องนี้กลืนไปจน
เป็นหนึ่งในวิถีงานศพประจำของบ้านเราไป ดังนั้นการห้ามกินของในงานศพ ตามที่โบราณจารย์ท่านห้าม เหตุผลข้างต้น จึงต่างจากวิถีชีวิตปัจจุบันไปแล้ว
คิดว่านี่คงเป็นสาเหตุที่คนถึงได้ไม่รู้ ว่าทำไมท่านถึงได้ห้าม แต่ก็ปฎิบัติตามกันมาแบบงงๆ
ส่วนตัวผม ถามว่าถือข้อห้ามนี้หรือไม่ ข้อห้ามนี้โดยหลักๆ มักจะเป็นคนเล่นของและเรียนวิชาทางภูติพราย
ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น และถือมานานแล้ว
วิธีปฎิบัติส่วนตัวผม คือตัดปัญหาต่างๆ ไม่กินไม่ดื่มใดๆในงานศพ อดทนเอา ถ้าไม่ไหวจริงๆ
ก็จะออกไปหากินข้างนอก หรือกินมาให้เรียบร้อยเสียก่อน เพื่อ
ความสบายใจ ว่าเราไม่ได้ผิดข้อห้าม หรือละเลยในสิ่งที่ครูท่านได้กำหนดไว้
ส่วนท่านใดจะปฎิบัติแบบไหน ถูกหรือผิด อันนี้ผมคงไม่อาจจะไปชี้ชัดได้ เอาว่าแบบไหนที่คิดว่าเหมาะสมและไม่เป็นการละเลยคำครู
ก็ปฎิบัติกันไปครับ
สำนักษเวทย์